โปรดอย่าเข้าใจฉันผิด โปรดอย่าเข้าใจฉันผิด

ไขข้อสงสัยความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับประจำเดือน หากมีคู่มือความเป็นหญิง หน้าแรก บทที่ 1 คงว่าด้วย เรื่องความเปลี่ยนแปลง วัยสาว  และ“ประจำเดือน” จะเป็นบทเรียนแรก ที่สาว ๆ ต้องเรียนรู้  ประจำเดือน ระดู เมนส์ หลากหลายชื่อเรียกที่เราเรียกกัน และในวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับประจำเดือนให้มากขึ้น เพื่อให้สาว ๆ เข้าใจถึงธรรมชาติของความเป็นหญิง และจะได้เริ่มสังเกตุตัวเองกันนะคะ ว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ควรทราบ และสิ่งไหนที่เกิดจากความเข้าใจผิดกันบ้าง

ประจำเดือนคืออะไร ?

ประจำเดือน เป็นสิ่งที่บอกถึงการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของเพศหญิงว่าเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ โดยจะเริ่มเป็นประจำเดือนครั้งแรก เมื่ออายุประมาณ 12-13 ปี และจะหมดประจำเดือนในช่วงอายุประมาณ 45-60 ปี ฉะนั้นจะต้องเตรียมรับมือกับประจำเดือน และเตรียมความพร้อมเมื่อเข้าสู่วัยรุ่นของผู้หญิง

ประจำเดือน คือเลือดและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ที่หลุดลอกออกจากเยื่อบุโพรงมดลูก หรือเยื่อบุมดลูก โดยเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิง โดยมีความสัมพันธ์กับการตกไข่ ซึ่งการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกจะเกิดประมาณเดือนละครั้ง ภาวะที่เกิดขึ้นนี้ จึงถูกเรียกว่า ประจำเดือน แต่ละรอบเดือนจะมีช่วงเวลาประมาณ 26-30 วัน ทำให้ประจำเดือน เกิดขึ้นเฉลี่ย 1 ครั้ง/เดือนในช่วงครึ่งแรกของรอบเดือนปกติ (รอบเดือนปกติ จะประมาณ 28 วัน) เยื่อบุโพรงมดลูกจะเจริญหนาตัวขึ้นจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศหญิง (Estrogen) จากรังไข่ ประมาณกึ่งกลางของรอบเดือน (ประมาณวันที่ 14 ของรอบเดือน) จะมีการตกไข่จากรังไข่ข้างใดข้างหนึ่ง เพื่อรอการปฏิสนธิกับอสุจิ จากนั้นไข่ที่ผสมแล้ว หรือ ตัวอ่อนจะมีการฝังตัวในเยื่อบุโพรงมดลูก

ในช่วงครึ่งหลังของรอบเดือนหลังตกไข่ จะมีการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดและต่อมต่าง ๆ ในเยื่อบุโพรงมดลูก ซึ่งเป็นผลจากฮอร์โมนเพศหญิงอีกชนิดจากรังไข่เช่นกัน ซึ่งสร้างมากขึ้นหลังตกไข่ คือฮอร์โมนโปรเจสเตโรน (Progesterone) เพื่อรองรับการฝังตัวของตัวอ่อนเพื่อเจริญเป็นการตั้งครรภ์ แต่ในรอบเดือนที่ไม่มีการปฏิสนธิ ระดับฮอร์โมนโปรเจสเตโรนจากรังไข่จะลดระดับลง ส่งผลให้มีการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูก (ประมาณวันที่ 28 ของรอบเดือน) กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าประจำเดือน

หลังจากมีประจำเดือนแล้ว รังไข่จะเริ่มสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนเพิ่มขึ้น เริ่มต้นวงจรของการเกิดประจำเดือนใหม่ เกิดเป็นรอบเดือน หรือ ประจำเดือน วนเวียนไปเรื่อย ๆ ตลอดช่วงวัยเจริญพันธุ์ ซึ่งคือ วัยที่่รังไข่ยังสร้างฮอร์โมนทั้งสองชนิดดังกล่าวได้ แต่เมื่อสูงวัยขึ้นเซลล์รังไข่จะเสื่อมสภาพจนหยุดการสร้างฮอร์โมนทั้งสองชนิด หรือ สร้างได้น้อยมาก จึงส่งผลให้ไม่มีประจำเดือน หรือ ภาวะหมดประจำเดือนถาวร (Menopause) ที่นิยมเรียกว่า วัยทองนั่นเอง

สาวน้อยที่จะเริ่มมีประจำเดือน มีอาการที่พบได้อย่างไรบ้าง

  1. มีหน้าอก หน้าอกจะโตก่อนมีประจำเดือน 2-3 ปี
  2. มีขนที่อวัยวะเพศ จะเริ่มมีขนก่อนมีประจำเดือน 1-2 ปี
  3. ในผู้หญิงบางคนมีการตกขาว หรือคราบสีน้ำตาล ที่ชุดชั้นใน

ขึ้นชื่อว่าประจำเดือน ก็ต้องมาทุกเดือน แล้วประจำเดือนแบบใด ที่เริ่มไม่ปกติ

  1. ประจำเดือนมา เสมือนน้ำป่าไหลหลาก

ถ้าเมื่อไหร่ที่มีมากกว่า 80 มิลลิลิตร นั่นคือสัญญาณที่บอกว่าร่างกายเริ่มไม่ปกติแล้ว ทั้งนี้เราอาจสังเกตได้จากการที่ต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยบ่อยขึ้น หรือทุก 1-2 ชั่วโมง หากเป็นแบบนี้ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจความผิดปกติ

2. ประจำเดือนมายาวนานเกินไป

3-5 วัน คือระยะเวลาปกติของการมีประจำเดือน ถ้าเมื่อไหร่ที่เริ่มมียาวเป็นสัปดาห์ นั่นอาจเป็นสัญญาณของระดับฮอร์โมนที่ไม่สมดุล การตกไข่ที่ไม่สม่ำเสมอ ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้บ่อยมากที่สุดในสาว ๆ ที่มีประจำเดือนมามาก และปัญหานี้ยังพบได้มากในคนที่เป็นเบาหวาน มีภาวะโรคอ้วน หรือเครียดเกินไปได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังอาจเป็นสัญญาณของโรคต่าง ๆ ได้อีก เช่น มีเนื้องอกในกล้ามเนื้อมดลูก เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ

3.สีดำคล้ำไม่สดใสมากกว่า 3 วันขึ้นไป

สีดำคล้ำมากกว่า 3 วันขึ้นไป อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าคุณกำลังมีปัญหาเกี่ยวกับพังผืดภายในมดลูกหรือช่องคลอด รวมถึงอาจเป็นสัญญาณของการมีเนื้องอก แต่ถ้าเมื่อไหร่ประจำเดือนมีสีแดงส้ม นั่นหมายถึงอาจมีการติดเชื้อในช่องคลอด ซึ่งมักทำให้มีกลิ่นอับด้วย 

4.เดือนไม่มา

หากประจำเดือนมาน้อยกว่า 6 ครั้ง ต่อปี แบบนี้ไม่ดีแน่ อาจจะเกิดภาวะ ของ PCOS ถุงน้ำหลายใบในรังไข่  หรืออื่น ๆ ร่วมด้วย รีบไปหาหมอกันนะสาว ๆ

5. ประจำเดือนหมดเร็วเกินไป

โดยปกติผู้หญิงวัยจะหมดประจำเดือน จะอยู่ในช่วงอายุเฉลี่ยที่ 49.5 ปี ถ้าเมื่อไหร่ที่หมดประจำเดือนก่อนอายุ 40 ปี นั่นคือการทำงานของรังไข่อาจล้มเหลวก่อนวัยอันควร ซึ่งในบางครั้งการที่ประจำเดือนหมดก่อนวัย อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพด้านอื่น ๆ ได้ เช่น โรคกระดูกพรุนหรือกระดูกบาง คอเลสเตอรอลสูง และโรคหัวใจ

อาการก่อนเป็นประจำเดือน หรือ PMS ที่คุ้นเคย มีอะไรกันบ้างนะ

PMS (Premenstrual Syndrome) คือ อาการผิดปกติที่จะเกิดขึ้นก่อนมีประจำเดือนราว 1 – 2 สัปดาห์ โดยสาเหตุของอาการนั้นมีปัจจัยสำคัญมาจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเพศหญิงในช่วงก่อนมีประจำเดือน

อาการทางด้านอารมณ์และพฤติกรรม ได้แก่

  • มีอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดหรือโกรธง่าย
  • มีความตึงเครียดและไม่มีสมาธิ
  • มีอารมณ์เศร้า ร้องไห้กับเรื่องเล็ก ๆ วิตกกังวล
  • มีความต้องการหรืออยากอาหารมากกว่าปกติ
  • มีพฤติกรรมแยกตัวออกจากสังคม (Social Withdrawal)
  • มีปัญหาเกี่ยวกับการนอนหลับ เช่น นอนไม่หลับ (Insomnia)

อาการทางด้านร่างกาย ได้แก่

  • เจ็บเต้านม
  • ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ
  • ปวดศีรษะ
  • ปวดท้อง ท้องอืด
  • ท้องผูกหรือท้องเสีย
  • น้ำหนักตัวเพิ่ม
  • เหนื่อยล้า อ่อนเพลีย
  • มีสิวขึ้น

ซึ่งอาการ PMS นี้ เป็นตัวการที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของผู้หญิงหลายคนเป็นอย่างมาก เพราะส่งผลทั้งด้านสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจ หากรู้สึกว่าเริ่มกระทบต่อการใช้ชีวิต แนะนำปรึกษาแพทย์เพื่อการใช้ชีวิตที่สมูทขึ้นนะคะ

ซึ่งนอกจากประจำเดือนจะเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่ก็ไม่วายสร้างความสับสนให้กับสาว กับความเชื่อที่มีมานมนาน ซึ่งความเชื่อเหล่านั้นคืออะไรบ้างเรามาดูกัน ว่าจะจริงเท็จแค่ไหน

  1. เพราะประจำเดือนคือ เลือดเสียยิ่งมามาก…ก็เท่ากับได้ขับของเสียมาก

ความเข้าใจที่ผิดอันแรกเลยก็คือ ประจำเดือนไม่ใช่เลือดเสีย! แต่เป็นเยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดลอกออกมาพร้อมเลือดเท่านั้น ซึ่งเท่ากับว่า การมีประจำเดือนจึงไม่ใช่การขับของเสียออกจากร่างกายอย่างที่หลายคนเข้าใจ และประจำเดือนมามาก… ก็ยังอาจเป็นสัญญาณเตือนของภาวะผิดปกติได้อีกด้วย

  1. ห้ามกิน! น้ำมะพร้าว เพราะจะทำให้ประจำเดือนหยุดไหล

คนโบราณเชื่อกันว่าการดื่มน้ำมะพร้าวช่วงมีประจำเดือนจะทำให้ประจำเดือนหยุดไหล และทำให้ประจำเดือนในเดือนถัดไปมาช้ากว่าปกติ ซึ่งเกิดจากสารอาหารในน้ำมะพร้าวนั้นเป็นแบบเดียวกันกับฮอรโมนเพศหญิง แต่ด้วยการตอบสนองต่อร่างกายที่แตกต่างกัน บวกกับปริมาณน้ำมะพร้าวที่ดื่มเข้าไป ทำให้ “ไม่ใช่ทุกคน” ที่ดื่มน้ำมะพร้าวแล้วประจำเดือนจะหยุดไหล

  1. ไม่ควรออกกำลังกายช่วงมีประจำเดือน

สาว ๆ มักเชื่อว่า ไม่ควรออกกำลังกายในระหว่างมีประจำเดือน เพราะร่างกายอยู่ในช่วงอ่อนเพลียอาจเสี่ยงเป็นลมได้ ซึ่งความจริงแล้ว แม้มีประจำเดือนก็สามารถออกกำลังกายได้ เพราะสารเอนดอร์ฟินที่หลั่งออกมาไม่เพียงช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย แต่ยังช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้ โดยเลือกเป็นกิจกรรมเบา ๆ อย่าง โยคะ หรือ ว่ายน้ำ เพียงแต่ต้องดูแลใส่ใจเรื่องความสะอาดมากเป็นพิเศษ เช่น การใช้ผ้าอนามัยแบบสอด

  1. มีเพศสัมพันธ์ระหว่างมีประจำเดือนสิ…ไม่ท้อง!

มีคู่รักหลาย ๆ คู่เชื่อว่า การมีเพศสัมพันธ์ขณะที่ฝ่ายหญิงมีประจำเดือนจะช่วยลดโอกาสการตั้งครรภ์ได้ ซึ่งความจริงแล้ว การมีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือนก็ยังมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ เพราะการมีเลือดไหลซึมออกมาวันแรก ๆ อาจไม่ใช่เลือดจากประจำเดือน แต่บางคนอาจมีเลือดซึมออกมาในช่วงไข่ตก… หากไม่สวมถุงยางอนามัยก็อาจเสี่ยงตั้งครรภ์ได้ รวมไปถึงการมีเพศสัมพันธ์ในวันท้าย ๆ ของการมีประจำเดือน เพราะอสุจิผู้ชายสามารถมีชีวิตอยู่ในช่องคลอดหลังจากการหลั่งได้ถึง 72 ชั่วโมง

  1. กินของเย็น จะทำให้ประจำเดือนออกมาเป็นลิ่มเลือด

จริงอยู่ที่ภูมิคุ้มกันของผู้หญิงจะลดลงในระหว่างที่มีประจำเดือน การทานของเย็นหรือดื่มน้ำเย็นอาจทำให้ร่างกายปรับอุณหภูมิไม่ทัน แต่! ไม่เกี่ยวกับความเชื่อที่ว่ากินของเย็นแล้วประจำเดือนจะเป็นลิ่มเลือด ไหลออกมาไม่หมด หรือทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ

  1. ถ้าประจำเดือนมาไม่ปกติ ต้องกินยาขับเลือด

เพราะความเข้าใจผิดที่ว่าประจำเดือนคือเลือดเสีย ทำให้เมื่อประจำเดือนขาด… ก็เข้าใจว่าต้องกินยาขับเลือดเพื่อให้ของเสียถูกขับออกมา ซึ่งการที่ประจำเดือนไม่มาหรือมา ๆ ขาด ๆ อาจเกิดจากการมีโรคทางนรีเวชซ่อนอยู่ และการกินยาขับเลือดอาจส่งผลรุนแรงหากผู้ป่วยมีโรคบางโรคแฝงอยู่ เช่น เนื้องอกมดลูก หรือช็อกโกแลตซีสต์

  1. มีประจำเดือนห้ามอาบน้ำเย็น เพราะจะทำให้เป็นไข้ไม่สบาย

คนโบราณมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ช่วงระหว่างมีประจำเดือนฮอร์โมนในร่างกายจะแปรปรวน การอาบน้ำเย็นจึงอาจส่งผลให้ร่างกายปรับอุณหภูมิไม่ทัน มีไข้หรือเจ็บป่วยได้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในระหว่างมีประจำเดือนสามารถอาบน้ำเย็นในอุณหภูมิปกติได้เหมือนเดิม

  1. ประจำเดือนจะหยุดไหลเมื่อเราอยู่ในน้ำ

แม้ว่าอยู่ในช่วงมีประจำเดือน แต่บางคนก็ยังคงลงว่ายน้ำในสระหรือทะเลเหมือนปกติ เพราะเข้าใจว่าพออยู่ในน้ำประจำเดือนก็จะหยุดไหลไปเอง ซึ่งการหยุดไหลของประจำเดือนนั้นเป็นเพียงแค่ระยะชั่วคราวเท่านั้น ที่สำคัญ! การลงเล่นน้ำในช่วงมีประจำเดือน ยังอาจเสี่ยงต่อการที่สิ่งสกปรกปนเปื้อนในน้ำจะไหลผ่านเข้าไปในช่องคลอด ทำให้เกิดการติดเชื้อและอักเสบได้

  1. การใช้ผ้าอนามัยแบบสอดจะทำให้เยื่อพรหมจรรย์ขาด

หนึ่งในความเชื่อของสาว ๆ ที่ยังเวอร์จิ้น ก็คือ ความเข้าใจที่ว่า การใช้ผ้าอนามัยแบบสอดจะทำให้เยื่อพรหมจรรย์ขาด ซึ่งไม่เป็นความจริง! เพราะเยื่อพรหมจรรย์เป็นเยื่อบางๆ ที่สามารถยืดหยุ่นได้ค่ะ

และนี่ก็เป็นบทความบางส่วนในเรื่องประจำเดือนประจำใจ ที่สาวๆ ควรรู้ไว้เพื่อสังเกตตัวเองนะคะ เพราะประจำเดือนเป็นเรื่องใกล้ตัวที่สุดที่เราจะสังเกตความเปลี่ยนแปลงได้ Herniverse อยากเป็นพื้นที่ทางใจ ให้สาวๆ ทุกคนมาจอยกันได้ทุกเรื่องราว

Share the Post:

บทความแนะนำ