เยื่อบุโพรงมดลูกหนา ไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดานะสาวๆ
ซิสสาวจ๋า ผู้หญิงอย่างเรา รองพื้นหนา ไม่เป็นไร ส้นสูงหนา ไม่เป็นไร คิ้วหนาไป ก็ไม่เป็นไร หรือผิวหน้าหนา ก็ยังไม่เป็นไร มีสิ่งเดียวที่ห้ามหนาเกินความจำเป็น คือ “เยื่อบุโพรงมดลูก” ค่ะซิส แล้วถ้ามันหนาจะเป็นยังไงล่ะ แล้วจะรู้ได้ยังไง เอาล่ะผู้หญิงอย่างเรามีแต่เรื่องปวดเฮดกลุ้มฮาร์ท มาให้สังเกตุไม่เว้นวัน แต่อย่าเพิ่งตกใจไปนะคะ วันนี้ เราจะมาทำความรู้จักกับเจ้าเยื่อบุโพรงมดลูก เพื่อนซี้ที่เราไม่เคยเจอ จะเป็นอย่างไร มีวิธีสังเกตอย่างไร The herniverse มีคำตอบค่ะ
รู้จักเยื่อบุโพรงมดลูกกันก่อน
เยื่อบุโพรงมดลูก คือ เยื่อบุผิวของผนังด้านในของมดลูก มีหน้าที่ในการรับการฝังตัวของตัวอ่อน และเกิดการตั้งครรภ์ขึ้น ความหนาของเยื่อบุโพรงมดลูกในแต่ละช่วงเวลาใน 1 รอบเดือนนั้นจะหนาไม่เท่ากัน กล่าวคือ ในช่วงมีประจำเดือนเยื่อบุโพรงมดลูกจะบางที่สุด เพราะเยื่อบุโพรงมดลูกลอกตัวมาเป็นประจำเดือนและหนาตัวขึ้นเรื่อยๆ โดยจะมีความสัมพันธ์กับการโตของฟองไข่ในเดือนนั้นๆ ซึ่งจะหนาตัวมากที่สุดในช่วงการตกไข่ หลังจากนั้นความหนาอาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงเล็กน้อยเพื่อรอให้ตัวอ่อนมาฝังตัว หากไม่มีการฝังตัวก็จะบางลงอีกครั้งเมื่อมีประจำเดือน
ภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัว (endometrial hyperplasia)
เป็นการเจริญผิดปกติของทั้งต่อม (gland) และสโตรมา (stroma) ที่ประกอบกันขึ้นเป็นเยื่อบุโพรงมดลูก โดยลักษณะทางจุลพยาธิวิทยาจะพบว่ามีการเพิ่มขึ้นของต่อมในเยื่อบุโพรงมดลูกจนมีอัตราส่วนของต่อมต่อสโตรมาสูงกว่าปกติ และอาจจะมีเซลล์เยื่อบุที่มีลักษณะผิดปกติ (atypia) ร่วมด้วย ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวจำแนกได้ดังนี้
ปัจจัยที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ ได้แก่ ซิสสาวที่มีอายุมากกว่า 35 ปี, มีประวัติภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวในครอบครัว
ลักษณะประจำเดือน ได้แก่ อยู่ในวัยหมดระดู, เริ่มมีประจำเดือนเร็วหรือหมดประจำเดือนช้า, มีระยะก่อนหมดประจำเดือน (perimenopause) ยาวนาน, ไม่เคยตั้งครรภ์มาก่อน
โรคแทรกซ้อนอื่น ๆ ได้แก่ ภาวะอ้วน, โรคเบาหวาน, ภาวะถุงน้ำรังไข่หลายใบ (polycystic ovary syndrome; PCOS), กลุ่มโรค hereditary non-polyposis colon cancer (Lynch syndrome) และมะเร็งที่สร้างฮอร์โมน เช่น มะเร็งรังไข่ชนิด granulosa cell
สาเหตุจากการให้ยาหรือฮอร์โมน เช่น การได้รับยาในกลุ่ม selective estrogen receptor modulators (SERMs) เช่น Tamoxifen หรือ Raloxifen เป็นเวลานาน, การได้รับฮอร์โมนทดแทนกลุ่มเอสโตรเจนเพียงอย่างเดียว, การได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนจากแหล่งภายนอกร่างกาย
ปัจจัยอื่น ๆ ได้แก่ การสูบบุหรี่ และการกลายพันธุ์ของยีน เป็นต้น
จะเห็นได้ว่าปัจจัยต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นโดยส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการที่เยื่อบุโพรงมดลูกได้รับการกระตุ้นด้วยฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายที่มีระดับสูงอยู่เป็นเวลานาน โดยไม่มีฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนหรือมีอยู่ในระดับที่ไม่เพียงพอต่อการเปลี่ยน prolferative endometrium เป็น secretory endometrium ตามรอบประจำเดือนหรือที่เรียกภาวะนี้ว่า “unopposed estrogen stimulation” ซึ่งจะทำให้เกิดภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวและเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกตามมาได้นั่นเอง
ใครบ้าง ตรวจหาภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัว
- สตรีวัยหมดระดูที่มีเลือดออกผิดปกติจากช่องคลอด (postmenopausal bleeding)
- สตรีอายุ 45 ปีขึ้นไปที่ยังไม่หมดประจำเดือน แต่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด
- สตรีอายุน้อยกว่า 45 ปีที่ยังไม่หมดประจำเดือนและมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด แต่มีปัจจัยเสี่ยงร่วมด้วย เช่น ดัชนีมวลกาย (body mass index) มากกว่า 30 กิโลกรัม/ตารางเมตร(8) , มีภาวะไข่ไม่ตกเรื้อรัง, ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นเวลานาน, เคยรักษาอาการเลือดออกผิดปกติด้วยยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น และมีกลุ่มโรคที่มีความเสี่ยงสูงในการเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เช่น กลุ่มโรค Lynch syndrome หรือ Cowden syndrome
- สตรีที่มีผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกผิดปกติผลเป็น Atypical glandular cells (AGC)
- สตรีกลุ่มเสี่ยงสูงที่จะเป็นมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก เช่น กลุ่มโรค Lynch syndrome
สตรีที่เป็นกลุ่มPCOS ถ้าไม่ได้รับการรักษา จะเพิ่มความเสี่ยงในแง่ต่างๆดังนี้
มีความเสี่ยงในการเกิดเยื่อบุมดลูกหนาตัวและมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกเพิ่มขึ้น เนื่องจากไม่มีการหลุดลอกของเยื่อบุโพรงมดลูกมาเป็นประจำเดือนเหมือนสตรีที่มีประจำเดือนมาสม่ำเสมอ ซึ่งมักจะแสดงอาการผิดปกติให้เห็นในช่วงอายุที่มากขึ้น หรือวัยหมดประจำเดือน
วิธีการตรวจเพื่อวินิจฉัยภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัว
การวินิจฉัยภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวควรเริ่มด้วยการตรวจร่างกายและตรวจภายใน เพื่อแยกสาเหตุของเลือดออกผิดปกติจากโพรงมดลูกด้วยสาเหตุอื่นออกไปก่อน แล้วจึงทำการตรวจเพื่อวินิจฉัยเพิ่มเติม โดยมีแนวทางดังนี้
การเก็บตัวอย่างเยื่อบุโพรงมดลูกส่งตรวจ (endometrial sampling) เป็นวิธีการหลักในการวินิจฉัยภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัว โดยการเก็บตัวอย่างเยื่อบุโพรงมดลูกจะใช้อุปกรณ์ขนาดเล็ก ใส่เข้าไปในโพรงมดลูกเพื่อดูดเอาเยื่อบุโพรงมดลูกส่งตรวจ วิธีการนี้มีข้อดี คือ ค่าใช้จ่ายไม่สูง, สามารถทำได้ง่ายและมีความไว ในการวินิจฉัยโรคสูง โดยความไวในการวินิจฉัยภาวะเยื่อบุมดลูกหนาตัวสูงถึงร้อยละ 81 และความไวในการวินิจฉัยมะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกในสตรีวัยเจริญพันธุ์และในหญิงวัยหมดประจำเดือนสูงถึงร้อยละ 91 และ 6 ตามลำดับ อย่างไรก็เก็บตัวอย่างเยื่อบุโพรงมดลูกส่งตรวจนั้นมักจะสุ่มได้ชิ้นเนื้อเพียงร้อยละ 50 ของโพรงมดลูกเท่านั้น หากในรายที่ยังไม่ได้รับการวินิจฉัยหรือได้ชิ้นเนื้อไม่เพียงพอและยังสงสัยว่าจะมีพยาธิสภาพที่เยื่อบุโพรงมดลูกให้พิจารณาเก็บตัวอย่างเยื่อบุโพรงมดลูกส่งตรวจซ้ำหรือทำการขูดมดลูก (dilatation and curettage) เพิ่มเติม หรืออาจจะทำการตรวจด้วยการส่องกล้องตรวจโพรงมดลูกเพื่อวินิจฉัย (diagnostic hysteroscopy) และตัดชิ้นเนื้อโดยตรงร่วมกับการขูดมดลูกเพื่อนำชิ้นเนื้อส่งตรวจเพิ่มเติม
ซิสสาวคะ จะเห็นได้ว่ามนุษย์เรามีความซับซ้อน โดยเฉพาะผู้หญิง ปัจจัยภายนอกสำคัญมาก แต่ปัจจัยภายใน สำคัญกว่า หมั่นตรวจเช็กสุขภาพใจและกายอยู่สม่ำเสมอ เพื่อรู้เท่าทันความผิดปกติ จะได้เจิด เฉิดฉาย สวยๆสับๆ ไปได้อย่างสุขภาพดีนะคะ