เต้าหู้

ถั่วเหลืองสำหรับสาวๆ มีประโยชน์ หรือมีโทษกันนะ

ซิสสาวคะเราในฐานะผู้หญิงคนหนึ่งแน่นอนเลยว่า นอกจากครีมบำรุงเดย์ครีมไนท์ครีมเซรั่มนานาชนิด อาหารก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่เราต้องศึกษาเพื่อดูแลตัวเอง และเคยสังเกตหรือไม่ว่า มันจะมีอาหารอยู่ชนิดหนึ่งที่ดูจะเกี่ยวข้องกับผู้หญิงอย่างเรา นั่นก็คือ  “ถั่วเหลือง” มีบทความมากมายเขียนถึงประโยชน์ไว้มากมาย แต่ก็ยังมีงานวิจัยบางอย่าง เขียนถึงโทษที่ส่งผลต่อสาวๆ แล้วอย่างนี้จะเชื่ออะไรดี วันนี้เรามาตอบคำถามและทำความรู้จักถั่วเหลืองในมุมที่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงให้มากขึ้นกันค่ะซิส

การรับประทานถั่วเหลืองทำให้เกิดโรคมะเร็งเต้านมได้จริงมัั้ยซิส ???

หากเป็นมะเร็งอยู่แล้วไม่ควรรับประทานถั่วเหลืองจริงมัั้ยซิส ???

ณ ปัจจุบัน ยังไม่มีผลวิจัยใดสรุปว่าการรับประทานถั่วเหลืองจะทำให้เป็นโรคมะเร็งได้นะคะ แต่ก็มีการศึกษาวิจัยแสดงให้เห็นว่าสารไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogen) ที่อยู่ในถั่วเหลืองอาจเชื่อมโยงกับโอกาสในการเกิดโรคมะเร็งเต้านมในหญิงวัยหมดประจำเดือน แต่ก็ยังไม่มีการยืนยันชัดเจน ดังนั้นจึงควรรับประทานถั่วเหลืองในปริมาณที่เหมาะสม และควรหลีกเลี่ยงการการรับประทานถั่วเหลืองที่เก่าเก็บ หรือมีการเก็บรักษาที่ไม่ดี และอาหารจำพวกเต้าหู้หรือเต้าเจี้ยวที่มีกรรมวิธีการทำที่ไม่ดี ไม่สะอาด เพราะอาจมีการปนเปื้อนของสารก่อมะเร็งอะฟลาทอกซิน (aflatoxin) ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะมะเร็งตับได้ค่ะ

           ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเอสโตรเจนสามารถรับประทานถั่วเหลืองได้ตามปกติ แต่ไม่ควรรับประทานมากเกินไป แต่ถ้าหากเป็นผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งเต้านม หรือมะเร็งเกี่ยวกับมดลูก ก็ไม่ควรที่จะรับประทานถั่วเหลือง เพราะจะทำให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนที่อยู่ในถั่วเหลืองไปทำให้การรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมนนั้นเกิดผลกระทบได้

ถั่วเหลืองมีฤทธิ์คล้าย Estrogen

คุณสมบัติของถั่วเหลืองมีสารชื่อIsoflavones มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งฮอร์โมนนี้จะกระตุ้นเซลล์มะเร็งให้เจริญเติบโต ทำให้กลัวว่าการกินอาหารหรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองอาจเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านม อย่างไรก็ตามมีการศึกษาที่มีผลว่าถั่วเหลืองมีทั้งเพิ่มและลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม จึงยังไม่สามารถระบุได้แน่ชัด

       เราต้องทำความเข้าใจเรื่องกลไกของฮอร์โมนเอสโตรเจนกับมะเร็งเต้านมก่อน ในมะเร็งเต้านมมีทั้งชนิดที่มีตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจน และชนิดที่ไม่มีตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจน ดังนั้น กลุ่มที่เราจะกล่าวถึงในเรื่องนี้จะเป็นมะเร็งชนิดที่มีตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจนเท่านั้น และที่แปลกและซับซ้อนเข้าไปอีก ฮอร์โมนเอสโตรเจนเมื่อไปจับกับตัวรับเหล่านี้ ในอวัยวะที่ต่างกัน หรือในสภาวะแวดล้อมที่มีระดับเอสโตรเจนในร่างกายที่ต่างกัน ก็ไม่ได้มีฤทธิ์กระตุ้นเซลล์มะเร็งเต้านมเสมอไป บางครั้งก็มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งเต้านมได้เช่นกัน

       กลับมาที่ถั่วเหลือง จะยับยั้งหรือเพิ่มความเสี่ยง ได้มีการตั้งข้อสังเกตว่าในคนญี่ปุ่น คนจีนมีอุบัติการณ์มะเร็งเต้านมที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับชาวตะวันตก จึงมีการศึกษาเรื่องการกินอาหารพบว่าเป็นอาหารไขมันต่ำและกินถั่วเหลืองมากกว่าชาวตะวันตก จึงมีความเชื่อว่ากินถั่วเหลืองป้องกันความเสี่ยงมะเร็งเต้านม เช่นมีการวิจัยในผู้หญิงจีนประมาณ 70,000 คน เทียบระหว่างกินถั่วเหลือง วันละ 13 กรัมเทียบกับกลุ่มที่กินวันละ 5 กรัมพบว่าการเกิดมะเร็งเต้านมในกลุ่มที่กินวันละ 13 กรัมต่ำกว่ากลุ่มที่กินวันละ 5 กรัมถึง 11% นอกจากนี้มีการวิจัยบางวิจัยบอกว่าถั่วเหลืองจะไปแย่งไม่ให้ฮอร์โมนเอสโตรเจนจับกับเซลล์มะเร็ง เป็นการป้องกันมะเร็ง แต่บางวิจัยที่วิจัยถั่วเหลืองมีผลรบกวนการรักษาในกลุ่มที่ได้ยาต้านฮอร์โมนซึ่งออกฤทธิ์ทำให้ร่างกายมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ

      สำหรับการศึกษาที่บอกว่าถั่วเหลืองกระตุ้นเซลล์มะเร็ง เช่นการศึกษาจากMemorial Sloan Kettering Cancer Center และ Weill Cornell Medical College ได้ทำการทดลองแบบสุ่มในคนไข้มะเร็งเต้านมระยะที่ 1 และ 2 จำนวน 140 คน กลุ่มหนึ่งให้กินโปรตีนถั่วเหลืองประมาณ 52 กรัม(เทียบเท่านมถั่วเหลือง 4 ถ้วย) เทียบกับอีกกลุ่มที่ไม่กิน เป็นเวลา 2–3 สัปดาห์ ก่อนการผ่าตัด พบว่ากลุ่มที่กินถั่วเหลือง มีการเติบโตของมะเร็งมากกว่ากลุ่มที่ไม่กิน แต่อย่างไรก็ตามการศึกษานี้ก็ยังไม่ได้มีการติดตามที่นานพอ ที่จะบอกว่าถั่วเหลืองเพิ่มความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม

การกินถั่วเหลืองไม่ได้เป็นข้อห้ามหรือเพิ่มความเสี่ยง สามารถกินได้ โดยให้ปฏิบัติดังนี้
   

  1. ถั่วเหลืองสามารถที่จะกินได้ทั้งคนทั่วไปและผู้ป่วยมะเร็งเต้านม ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่มากจนเกินไป
    
  2. การกินถั่วเหลืองวันละ 1-2 หน่วยบริโภคอาจลดความเสี่ยงของมะเร็งเต้านม
    
  3. ควรกินถั่วเหลืองที่ได้จากอาหารทั่วไป ไม่ควรกินในรูปแบบอาหารเสริม หรือถั่วเหลืองสกัด เพราะจะมีปริมาณที่เข้มข้นมากเกินไป
  
  4. ในกลุ่มที่เป็นมะเร็งเต้านมชนิดที่มีตัวรับฮอร์โมนเป็นบวก ในช่วงที่อยู่ในระหว่างการรักษาตัวเช่นก่อนผ่าตัด ควรหลีกเลี่ยงการกินถั่วเหลืองในปริมาณสูง- ปริมาณอาหาร ที่เทียบเท่า ถั่วเหลือง 1 หน่วยบริโภค

แต่ถึงจะก้ำกึ่งในงานวิจัย แต่กลับมีงานวิจัยบางอย่างบอกไว้ว่า…

ถั่วเหลืองดีกับวัยทอง

ปกติแล้ว เมื่อผู้หญิงเริ่มย่างเข้าสู่วัยทอง ร่างกายจะเริ่มสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง ทำให้เกิดอาการต่างๆ เช่น ร้อนวูบวาบ ปวดเมื่อย กลั้นปัสสาวะไม่ค่อยอยู่ อารมณ์ไม่คงที่ อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคบางชนิด เช่น โรคหัวใจ โรคกระดูกพรุน

วิธีการรักษาโดยทั่วไป ก็คือ การให้ฮอร์โมนทดแทนหรือการให้ยาบางชนิด อย่างไรก็ตาม ในบางกรณี การให้ฮอร์โมนทดแทนอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงบางประการได้ ผู้หญิงบางคนจึงเริ่มมองหาทางเลือกเพื่อรักษาสุขภาพด้วยวิธีการทางธรรมชาติ

ผลจากการสำรวจพบว่า พบอาการวัยทองน้อยมากในผู้หญิงญี่ปุ่นที่มีนิสัยการรับประทานอาหารจากถั่วเหลืองเป็นประจำ ผลการสำรวจดังกล่าวจึงนำไปสู่การศึกษา จนได้ข้อมูลว่า ถั่วเหลืองจัดเป็นแหล่งของสารไอโซฟลาโวนส์ตามธรรมชาติ ซึ่งมีโครงสร้างและคุณสมบัติคล้ายคลึงกันกับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ร่างกายสร้างขึ้น แต่มีฤทธิ์ไม่แรงเท่า

จากการวิจัยเบื้องต้นพบว่า อาหารที่มีโปรตีนถั่วเหลืองซึ่งเป็นแหล่งของไอโซฟลาโวนส์ตามธรรมชาติสูงนั้น มีประโยชน์ต่อผู้หญิงหลายประการ เช่น ช่วยลดการสูญเสียมวลกระดูก และลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ยิ่งไปกว่านั้น การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยโปรตีนถั่วเหลืองยังอาจช่วยลดอาการร้อนวูบวาบ ซึ่งผู้หญิงวัยทองส่วนใหญ่มักจะต้องประสบได้อีกด้วย

โดยสรุปแล้ว ยังไม่มีงานวิจัยที่แน่ชัดรองรับเกี่ยวกับการทานถั่วเหลืองจะมีโทษหรือประโยชน์แต่เชื่อว่าหากเรารับประทานในปริมาณที่เหมาะสม

ถั่วเหลืองถือว่ามีประโยชน์ต่อร่างกายและเป็นโปรตีนชั้นดี ทำอาหารได้หลากหลาย หมั่นดูแลสุขภาพร่างกาย สุขภาพการกิน บาลานซ์ให้ลงตัว เพราะผู้หญิงอย่างเราซับซ้อนทั้งร่างกายและจิตใจ ด้วยรักและห่วงใย จาก The Herniverse นะคะซิสสาวทั้งหลาย

Share the Post:

บทความแนะนำ